หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า”สิวสเตียรอยด์” กันมาอยู่แล้วและหลายๆคนอาจจะรู้จักและคุ้นเคยกับสิวสเตียรอยด์กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่สำหรับบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าสิวสเตียรอยด์ที่พูดถึงคืออะไร, เกิดขึ้นมาบนผิวหน้าได้อย่างไรและสิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาบนผิวหน้านั้นมีลักษณะอย่างไร
ซึ่งสิวสเตียรอยด์คือสิวที่มีลักษณะเป็นสิวเทียมที่เกิดจากการแพ้ของสารสเตียรอยด์หรือมีการสะสมของสารสเตียรอยด์ที่อยู่ภายในผิวเป็นจำนวนมาก จนส่งผลทำให้ผิวเกิดการต่อต้านกับสารสเตียรอยด์ที่ได้รับและทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นมีลักษณะคล้ายกับสิวเกิดขึ้นบริเวณผิวบริเวณนั้นหรือที่ใครหลายๆคนมักจะรู้จักกันในชื่อสิวสเตียรอยด์นั่นเอง
โดยสิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาบนผิวนั้น มักจะมีลักษณะคล้ายกับตุ่มสิวขนาดใหญ่เกิดขึ้น ในกลุ่มคนที่มีระดับสิวที่ไม่รุนแรงมากหรือเป็นในระดับสิวสเตียรอยด์ในระดับเริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นคล้ายกับผื่นแดงขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณผิวและเมื่อสิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ก็มักจะก่อให้เกิดสิวขนาดใหญ่เกิดขึ้น โดยมักจะมีลักษณะคล้ายกับสิวอักเสบเกิดเป็นตุ่มน้ำพองหรือตุ่มหนองขนาดใหญ่และเมื่อผิวได้รับสารสเตียรอยด์ในปริมาณที่มากขึ้นหรืออยู่ในระดับที่รุนแรงก็จะส่งผลทำให้ผิวบริเวณนั้นเสื่อมโทรมและบอบบางลง จนสามารถมองเห็นเส้นเลือดฝาดได้อย่างชัดเจนและแน่นอนว่าเมื่อผิวบอบบางลงมักจะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นปัญหาผิวต่างๆตามมาได้อย่างง่ายดาย ทั้ง ปัญหาสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อการรักษาให้หายได้ยากในอนาคต
โดยสิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาบนผิวหน้านั้น มักจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ อย่าง การใช้สารสเตียรอยด์ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่กำหนดหรือใช้สารสเตียรอนด์เป็นระยะเวลานานๆ จนส่งผลทำให้ผิวได้รับสารสเตียรอยด์ในปริมาณมากและเกิดการสะสมของสารสเตียรอยด์ในผิวในปริมาณที่มากจนเกินไป จนก่อให้เกิดเป็นสิวสเตียรอยด์ขึ้นมาบนผิวหน้านั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม สิวสเตียรอยด์รักษาให้หายได้ยังไง ?
ดังนั้น สิวสเตียรอยด์สิวที่ใครหลายๆคนอาจจะคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดีนั้น ถือเป็นสิวอันตรายที่คนเป็นสิวประเภทนี้ต้องดูแลและใส่ใจสิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาบนผิวให้มากเป็นพิเศษเพราะความรุนแรงของสิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาบนผิวนั้นถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่มีการรักษาให้หายอย่างถูกวิธีก็ยิ่งจะส่งผลทำให้สิวสเตียรอยด์ที่เกิดขึ้นมาบนผิวเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและส่งผลให้รักษาให้หายได้ยากมากยิ่งขึ้นในอนาคตนั่นเอง
ใส่ความเห็น